วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ท่องเที่ยวไทย ไปได้ทุกที่

สวรรค์ในหมอก ดอกไม้งาม

ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ให้นักท่องเที่ยวเลือกเที่ยวชมตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ทะเล ภูเขา น้ำตก ล้วนมีความสวยงามตามธรรมชาติ เป็นที่น่าประทับใจของนักท่องเที่ยว ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ข้าพเจ้าขอแนะนำอยากให้ไปเที่ยวกันสักครั้งหนึ่งในชีวิตและเหมาะกับการท่องเที่ยวในฤดูหนาว ก็คือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


ภูกระดึงคือขุนเขามหัศจรรย์แห่งเมืองเลยอาจนับเป็นสุดยอดของภูหินทรายบนเทือกเขาเพชรบูรณ์ที่มีรอยเท้าของนักเดินทางเหยีบย่ำขึ้นไปมากที่สุด อีกทั้งยังมีพรรณไม้จากเขตอบอุ่นของโลกปรากฏอยู่ทามกลางอากาศหนาวเย็นของภูหินทรายแห่งนี้ด้วย หากมองภูกระดึงจากระยะไกลจะเห็นเป็นภูเขายอดตัดราบที่เรียกว่าที่ราบรูปโต๊ะ(Tableland) อันเกิดจากธรณีสัณฐานเดิมของภาคอีสานเป็นชั้นหินทรายที่วางตัวในแนวราบเมื่อเปลือกโลกยกตัวสูงขึ้นจึงกลายเป็นภูเขายอดตัดลักษณะดังกล่าว ส่วนบนสุดของภูกระดึงมีลักษณะดังกล่าว ส่วนบนสุดของภูกระดึงมีลักษณะเป็นทุ่งราบกว้างใหญ่ถึง 60 ตารางกิโลเมตร ซึ่งถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้า ป่าสนสองใบ ป่าสนสามใบ ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดงดิบเขา สลับกับเนินเตี้ยๆ




โดยมีภูกุ่มข้าว เป็นยอดเขาสูงสุด ความสูงประมาณ 1,350 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ความโดดเด่นด้านหนึ่งของภูกระดึงคือสุดยอดพรรณไม้เขตหนาวที่กระจายพันธุ์ลงมาถึง เช่น กุหลาบขาว กุหลาบแดง และก่วมแดง ที่มีชื่ออื่นว่าเมเปิลแดง หรือไฟเดือนห้า


ลักษณะเป็นไม้ต้นสูงใหญ่ ชอบขึ้นอยู่ริมลำธารในป่าดงดิบที่ความสูง 1,300-2,400 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทุกปีในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ก่วมแดงจะผลัดใบเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน น่าตื่นตาเป็นที่สุด โดยเฉพาะในป่าปิดซึ่งมีน้ำตกหลายแห่ง เช่น น้ำตกขุนพอง น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ และน้ำตกธารสวรรค์ เป็นต้น ยอดภูกระดึงมีสภาพอากาศหนาวเย็นเฉียบเกือบตลอดปี จึงเหมาะสำหรับการพักผ่อนและชมทิวทัศน์บริเวณเหลี่ยมผาต่างๆ ที่ขึ้นชื่อเช่น ผานกแอ่น ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่มีชื่อเสียงมาก
โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะเห็นทะเลหมอกห่มคลุมอยู่ทั่วหุบเขา ไม่ไกลกันนักคือผาหมากดูก ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม นอกจากนี้ผาหล่มสักยังเป็นสัญลักษณ์ของภูกระดึงที่นักท่องเที่ยวรู้จักมากที่สุด เพราะจะมีภาพคุ้นตาของชะง่อนหินที่ยื่ยล้ำออกไปจากหน้าผาและต้นสนขนาดใหญ่ เป็นจุดชมดวงอาทิตย์ตกที่สวยงามจับใจยิ่งนัก

ภูกระดึง ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม เนื่องจากลักษณะภูมิประเทศประกอบไปด้วยป่าไม้ ทุ่งหญ้าและลำธาร ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าภูกระดึงมีหลายชนิดที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ ช้างป่า เก้ง กวางป่า หมูป่า ลิงกัง ลิงลม บ่าง กระรอกหลากสี กระแต หนูหริ่งนาหางยาว ตุ่น เม่นหางพวง พังพอน อีเห็น เหยี่ยวรุ้ง นกเขาเปล้า นกเขาใหญ่ นกกระปูดใหญ่ นกเค้ากู่ นกตะขาบทุ่ง นกโพระดกคอสีฟ้า นกตีทอง นกหัวขวานสามนิ้วหลังทอง นกนางแอ่นสะโพกแดง นกเด้าดินสวน นกอุ้มบาตร์ นกขี้เถ้าใหญ่ นกกระทาทุ่ง นกพญาไฟใหญ่ นกกางเขนดง นกจาบดินอกลาย นกขมิ้นดง ตุ๊กแก จิ้งจกหางแบนเล็ก กิ้งก่าสวน จิ้งเหลนบ้าน เต่าเหลือง งูทางมะพร้าว งูลายสอบ้าน งูจงอาง งูเก่า งูเขียวหางไหม้ อึ่งอี๊ดหลังลาย เขียดหนอง คางคก กบหูใหญ่ ปาดแคระ และมีเต่าชนิดหนึ่งซึ่งหาได้ยาก คือ เต่าปูลู หรือ “เต่าหาง” เป็นเต่าที่หางยาว อาศัยอยู่ตามลำธารในป่าเขาระดับสูงของประเทศไทย กัมพูชา และ ลาว


การเดินขึ้นภูกระดึงไม่ลำบากมากนัก แต่ระยะทางจะไกลและชัน แต่ระหว่างทางจะมีจุดให้แวะพักเหนื่อยต่างๆ ตามลำดับ ได้แก่ ปางกกค่า ซำแฮก ซำบอน ซำกกกอก พร่านพรานแป ซำกกหว้า ซำกกโดน และซำแคร่

หากเดินขึ้นภูตั้งแต่เช้า อากาศจะค่อนข้างเย็นสบาย มีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมไปตลอดทาง โดยเฉพาะสภาพทางธรณีและสภาพป่าที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะๆ จากป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง ป่าดิบเขา จนถึงหลังแป จากหลังแปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางจะเป็นทางราบท่ามกลางทุ่งหญ้าป่าสนเขาอันกว้างใหญ่ รวมระยะทางจากทางขึ้นไปถึงหลังแปและศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 8.3 กิโลเมตร แหล่งท่องเที่ยวบนภูกระดึงส่วนใหญ่มีทางเดินชมธรรมชาติติดต่อถึงกันหมด ฉะนั้น ผู้ที่จะไปท่องเที่ยวบนภูกระดึงควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน เพื่อจะได้เที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงามเหล่านั้นได้ทั่วถึง อุทยานแห่งชาติภูกระดึงเปิดให้ท่องเที่ยวบนยอดภูกระดึงเฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม



นอกจากความสวยงามทางธรรมชาติบนภูกระดึงแล้ว พื้นที่ด้านล่างบริเวณเชิงเขาด้านทิศใต้ของภูกระดึงบริเวณพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ภด.3 (นาน้อย) ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวตามลำน้ำพองซึ่งประกอบด้วย น้ำตก แก่งหิน พันธุ์พืชที่น่าศึกษาแล้ว เป็นสถานที่พักผ่อนอยู่มากมาย นอกจากนี้ยังคงมีร่องรอยประวัติศาสตร์ของขบวนการเสรีไทย ตลอดทั้งภาพเขียนสีปรากฏบนผนังหินที่มีอายุหลายพันปี ซึ่งสามารถเดินทางจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 ย้อนกลับไปทางอำเภอภูกระดึงประมาณ 1.5 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามเส้นทาง รพช. จากบ้านหนองอิเลิง ถึงหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ภด.3 (นาน้อย) จากนั้นเดินทางไปตามเส้นทางลูกรังไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ระยะเวลาที่เหมาะสมในการท่องเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้แก่

ผานกแอ่น อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวางประมาณ 2 กิโลเมตร และห่างจากหลังแป 2.5 กิโลเมตร ผานกแอ่นเป็นลานหินเล็กๆ มีสนขึ้นโดดเด่นริมหน้าผาต้นหนึ่ง เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่งดงามยิ่ง อากาศสดชื่นเย็นสบาย มองเห็นทิวทัศน์เบื้องล่างซึ่งเป็นท้องทุ่งและเทือกเขา เห็นผานกเค้าได้ชัดเจน ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ จะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือนมีนาคม-เมษายน ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย

ผาหล่มสัก อยู่ห่างจากที่ทำการประมาณ 9 กิโลเมตร เป็นลานหินกว้างและมีสนต้นหนึ่งขึ้นชิดริมผาใกล้กับ
ชะง่อนหินที่ยื่นออกไปในอากาศทางทิศใต้ บริเวณผาหล่มสักนี้มองเห็นทิวทัศน์ของเทือกเขาสลับซับซ้อนในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ และเป็นจุดหนึ่งที่จะชมพระอาทิตย์ตกได้อย่างชัดเจนและงดงามมาก ผู้ที่ไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง

สระแก้ว อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 1 กิโลเมตร อยู่ในส่วนต้นน้ำของลำธารสวรรค์ “ธารสวรรค์” ลักษณะเป็นวังน้ำลึกขนาดไม่กว้างนัก น้ำใสมากจนมองเห็นพื้นหินขาวสะอาด เป็นแหล่งน้ำของสัตว์ป่าจำนวนมาก ต่อจากบริเวณสระแก้วมีทางเดินชมธรรมชาติผ่านลานหิน ซึ่งมีดอกหรีดสีม่วงอมน้ำเงินเกสรสีเหลือง ขึ้นอยู่เป็นทุ่งไปจนถึงผานาน้อย แยกซ้ายไปจะพบกับผาจำศีล ซึ่งมีลานหินกว้างพอให้นั่งพักผ่อน จากผาจำศีลประมาณ 600 เมตร จะถึงผาหมากดูก หากแยกขวาจะผ่านผาเหยียบเมฆและผาแดง แล้วก็จะถึงผาหล่มสัก

สระอโนดาด อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กิโลเมตร เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้กันยังมีลานกินรีซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิน เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมด


น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตกจะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่านลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ


น้ำตกตาดฮ้อง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 3 ชั้น เกิดจากลำน้ำพอง ซึ่งไหลลงมาจากภูกระดึงด้านหุบเขาตะวันตกเฉียงเหนือ สองฝั่งของตาดฮ้องเป็นผาหินสูงชันมาก เมื่อน้ำตกผ่านผาหินกว้างที่ลดหลั่นเป็นชั้นๆ จึงทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง จากบริเวณน้ำตกมองเห็นแนวภูเขาเปลือยขวางอยู่ข้างหน้าน้ำตกตาดฮ้องอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 20 กิโลเมตร



น้ำตกวังกวาง เป็นน้ำตกอยู่ใกล้กับที่พักมากที่สุดในบรรดาน้ำตกบนภูกระดึง ระยะทางเพียง 750 เมตร จากจุดเริ่มต้นตรงบริเวณบ้านพัก ลักษณะน้ำตกเป็นผาหินสูง 7 เมตร ตัดขวางลำธาร ธารน้ำไหลลงยังวังน้ำเบื้องล่าง ซึ่งมีลักษณะคล้ายโพลงถ้ำมุดลงไปและบริเวณป่าใกล้ๆ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของฝูงกวางมักจะลงมากินน้ำอยู่เสมอๆ จึงเรียกว่า “วังกวาง” บริเวณน้ำตกมีที่กว้างขวางให้ได้นั่งพักสบายๆ หลายมุม เพราะน้ำตกอยู่ไม่ไกล สามารถลงเล่นน้ำได้

น้ำตกถ้ำใหญ่ ห่างจากน้ำตกเพ็ญพบประมาณ 1 กิโลเมตร เส้นทางเดินไปสู่น้ำตกจะดูใกล้นิดเดียวสำหรับคนชอบธรรมชาติ ชมนกชมไม้ เพราะตลอดเส้นทางครอบคลุมไปด้วยป่าดิบเขาที่มีพรรณไม้ใหญ่และร่มครึ้มกว่าทุกเส้นทางน้ำตกอื่นๆ อาจได้พบต้นส้มกุ้ง (Begonia sp.) ออกดอกเป็นสีชมพู เกสรกลางสีเหลือง ชอบขึ้นตามทางในพื้นที่สูงอย่างป่าดงดิบเขา ในเส้นทางถ้ำใหญ่นี้มีทางเดินบางช่วงที่เลียบข้างลำห้วยเล็กๆ มีต้นเมเปิ้ลอยู่เป็นระยะๆ หากช่วงต้นมกราคม เส้นทางนี้จะแดงฉานด้วยใบเมเปิ้ลที่ร่วงหล่นเกลื่อนพื้นป่า ความสวยงามของน้ำตกถ้ำใหญ่จะแปลกตาด้วยโขดหินมหึมาวางทับซ้อนไม่เป็นระเบียบ ลำธารนี้ขนาบข้างด้วยต้นเมเปิ้ล ยามเมเปิ้ลแดงล่วงหล่น ขัดสีให้ลำธารหินเขียวสวยงามมีสีสันและมีชีวิตชีวาขึ้นมามากนัก

น้ำตกธารสวรรค์ จากน้ำตกถ้ำใหญ่เมื่อออกสู่ป่าสนไม่ไกลนักจะมีทางแยกบนลานหินสู่น้ำตกธารสวรรค์ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักตามเส้นทางป่าสนผ่านลานองค์พระพุทธเมตตาเพียง 1.6 กม. เท่านั้น เป็นน้ำตกขนาดเล็ก

น้ำตกโผนพบ เป็นหนึ่งในน้ำตกหลายจุดอันเกิดจากสายน้ำวังกวาง ห่างจากตัวน้ำตกเพ็ญพบใหม่เพียง 600 เมตรเท่านั้น ในส่วนของลำธารส่วนบนของน้ำตกโผนพบนี้ สามารถไปยืนชมตัวน้ำตกกลางลำธารซึ่งจะได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม น้ำตกมี 8 ชั้น สูงประมาณ 30 เมตร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่และสวยงามไม่น้อยบนภูเขานี้ สำหรับชื่อ “โผนพบ” ตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยน โลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ

น้ำตกพระองค์ คล้ายกับน้ำตกถ้ำใหญ่ แต่เป็นน้ำตกขนาดเล็กกว่า เกิดจากลำธารพระองค์ไหลเป็นลำธารเล็กๆ แล้วดิ่งตกลงหน้าผาที่ไม่สูงมากนักสู่หินเบื้องล่าง ลำธารพระองค์นี้เป็นลำห้วยเล็กๆ ที่ไหลจากสระอโนดาต สระน้ำกลางป่าสนซึ่งไม่เคยเหือดแห้ง จึงมีน้ำไหลตลอดปี อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4 กิโลเมตร

น้ำตกถ้ำสอเหนือ อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดงซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น



น้ำตกถ้ำสอใต้ อยู่ถัดจากน้ำตกถ้ำสอเหนือลงไปตามลำน้ำประมาณ 500 เมตร เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่เกิดจากหน้าผาหินถล่มลงไป สภาพภูมิประเทศไม่ได้อำนวยให้เกิดเป็นชั้นน้ำตกเหมือนแห่งอื่นๆ

ผาหมากดูก อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก



น้ำตกเพ็ญพบ อยู่ห่างจากน้ำตกโผนพบ 800 เมตร เป็นน้ำตกที่ไม่สูงนัก ลำห้วยช่วงก่อนไหลลงน้ำตกเป็นลานหินกว้าง ลักษณะคล้ายแก่งที่เต็มไปด้วยหลุมกลม


ลานหินบริเวณองค์พระพุทธเมตตา อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 500 เมตร ลานหินบริเวณองค์พระนี้เป็นจุดชมพันธุ์ไม้บนลานหิน เช่น ดุสิตา กระดุมเงิน เอื้องม้าวิ่ง ที่อยู่ใกล้ที่สุด


วังอีเมือง อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 3.2 กิโลเมตร บริเวณนี้มีแก่งที่สวยงามหลายแห่ง เหมาะสำหรับนั่งพักผ่อนและลงเล่นน้ำ

แก่งป่าหินทราย อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 5.6 กิโลเมตร เป็นแก่งหินที่สวยงาม มีความยาวประมาณ 750 เมตร ด้านบนมีจุดชมทิวทัศน์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบของแก่งได้อย่างสวยงาม บริเวณแก่งหินจะมีหลุมเป็นอ่างหินที่เกิดจากการกัดกร่อนของแรงน้ำมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน เป็นจุดที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่ง


น้ำตกตาดห้วยวัว อยู่ห่างจากน้ำตกตาดฮ้องลงมาประมาณ 6.5 กิโลเมตร และห่างจากหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ภด.3 (นาน้อย) ประมาณ 4 กิโลเมตร ด้านบนมีแก่งหินเล็กๆ

ลานวัดพระแก้ว
หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นแล้ว สามารถเดินไปลานวัดพระแก้วซึ่งอยู่ห่างไปเพียง 500 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2463 บริเวณลานหินที่กว้างขวางมีพรรณไม้ดอกพวกดุสิตา เอื้องม้าวิ่ง ขึ้นอยู่ทั่วไป ในช่วงปลายฝนต้นหนาวจะพากันออกดอกอยู่เกลื่อนลาน


ภูกระดึงนอกจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อให้เราไปเก็บเกี่ยวความงดงามตามธรรมชาติแล้ว คู่รักบางคู่ยังมีความเชื่อว่าภูกระดึงเป็นสถานที่พิสูจน์รักแท้ระหว่างคู่รักอีกด้วย เพราะระยะทางการเดินขึ้นภูกระดึงนั้น รวมแล้วประมาณเกือบ 10 กิโลเมตร ถือว่าเป็นระยะทางที่ไกลมาก และมีความยากลำบากในการเดินทาง


ซึ่งการขึ้นภูกระดึงอาจทำให้คู่รักบางคู่รักกันมากขึ้นกว่าเดิม และคนที่กำลังศึกษาซึ่งกันและกันอาจตกลงปลงใจที่จะคบกันก็เป็นได้ เพราะระยะทางการเดินทางที่ไกลทำให้ต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อผ่านอุปสรรคต่างๆ แต่ก็อาจทำให้บางคู่อาจทะเลาะกันจนทำให้เลิกรากันไปก็ได้อีกเช่นกัน ใครที่มีคู่รักและยังคิดไม่ออกว่าจะไปฉลองปีใหม่กันที่ไหนดี ขอแนะนำให้ลองไปเที่ยวภูกระดึงกันดูนะค่ะ เพราะจะให้รักของคุณหวานขึ้นอีกมาก และพิสูจน์ว่ารักแท้ยังมีอยู่จริง (แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เลิกกันก็ได้นะค่ะ อิอิ) และจะได้ภูมิใจว่า "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง"

วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ระบบนิเวศ

ระบบนิเวศ (ecosystem)

ระบบนิเวศ หมายถึง ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต ในแหล่ง ที่อยู่อาศัย ณ ที่ใดที่หนึ่ง ความสัมพันธ์มี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต และระหว่าง สิ่งมีชีวิต กับสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง โดยมีการถ่ายทอดพลังงาน และสารอาหารในบริเวณนั้นๆ สู่สิ่งแวดล้อม
ระบบนิเวศแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. ระบบนิเวศบนบก (Terrestial Ecosystems)

2. ระบบนิเวศในน้ำ (Aquatic Ecosystems)


องค์ประกอบในระบบนิเวศ
องค์ประกอบในระบบนิเวศ ประกอบด้วย 2 ส่วน
1. องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต (Abiotic Component) - อนินทรียสาร ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซิเจน น้ำ และคาร์บอน - อินทรียสาร ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ฯลฯ - สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิ แสง ความเป็นกรด เป็นด่าง ความเค็มและ ความชื้น
2. ส่วนประกอบที่มีชีวิต (Biotic Component) ได้แก่ - ผู้ผลิต (producer) - ผู้บริโภค (consumer) - ผู้ย่อยสลาย (decompser)

ผู้ผลิต (Producer) คือ
สิ่งมีชีวิต ที่สามารถนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ มาสังเคราะห์อาหารขึ้นได้เอง ด้วยแร่ธาตุและสสาร ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ พืชสีเขียว แพลงค์ตอนพืช และแบคทีเรียบางชนิด

ผู้บริโภค (Consumer) คือ
สิ่งมีชีวิตที่กินสิ่งมีชีวิตอื่นๆเป็นอาหาร แบ่งได้เป็น

- สิ่งมีชีวิตที่กินพืชเป็นอาหาร (Herbivore) เช่น วัว ควาย กระต่าย และปลาที่กินพืชเล็กๆ ฯลฯ

- สิ่งมีชีวิตที่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร (Carnivore) เช่น เสือ สุนัข กบ สุนัขจิ้งจอก ฯลฯ

- สิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืช และสัตว์ (Omnivore) ซึ่งเป็นลำดับ การกินสูงสุด เช่น มนุษย์
ผู้ย่อยสลาย (Decomposer) คือ
เป็นพวกที่ผลิตอาหารเองไม่ได้ ต้องอาศัยซากของ สิ่งมีชีวิต อื่นเป็นอาหาร โดยการย่อยสลาย ซากสิ่งมีชีวิต ให้เป็นสารอินทรีย์ได้

ความสัมพันธ์ภายในระบบนิเวศ
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ แบ่งออก เป็น 2 ลักษณะคือ

1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน
2. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้ง 3 กลุ่ม (ผู้ผลิต - ผู้บริโภค - ผู้ย่อยสลาย) ในระบบนิเวศ จะมีการถ่ายเท พลังงาน เป็นทอดจากผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค การไหลเวียน การถ่ายทอดพลังงานเป็นทอดๆ นี้ เรียกว่า ห่วงโซ่อาหาร (food chain)


พลังงานทั้งหลายในระบบนิเวศ นี้เกิดจากแสงอาทิตย์ พลังงานแสงถูกถ่ายทอดโดยเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานศักย์ สะสมไว้ในสารอาหาร ซึ่งเกิดจากกระบวนการ สังเคราะห์ ด้วยแสง แล้วถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้บริโภคลำดับต่างๆ ในระบบนิเวศ ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน อย่างซับซ้อน ในรูปแบบที่เรียกว่า สายใยอาหาร (food web)


ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ
1. การได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Mutualism)

• แมลงกับดอกไม้ แมลงดูดน้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร และดอกไม้ก็มีแมลงช่วยผสมเกสร

• นกเอี้ยงกับควาย นกเอี้ยงได้กินแมลงต่าง ๆ จากหลังควาย และควายก็ได้นกเอี้ยงช่วยกำจัดแมลงที่มาก่อความรำคาญ
• มดดำกับเพลี้ย เพลี้ยได้รับประโยชน์ ในการที่มดดำ พาไปดูดน้ำเลี้ยงที่ต้นไม้ และมดดำก็จะได้รับน้ำหวาน
• ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล (Sea anemore)
• แบคทีเรียไรโซเบียม (Rhizobium)
• โปรโตซัวในลำไส้ปลวก
• แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ใน สำไส้ใหญ่ของคน
2. ภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกื้อกูล (Commensalism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยที่ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
• ปลาฉลามกับเหาฉลาม







• พลูด่างกับต้นไม้ใหญ่
• กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่







• เพรียงที่อาศัยเกาะบนผิวหนังของวาฬเพื่อหาอาหาร
3. ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์
ก. การล่าเหยื่อ (predation) เป็นความสัมพันธ์ โดยมี ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ล่า (predator) และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อ (prey) หรือเป็นอาหารของอีกฝ่าย เช่น งูกับกบ








ข. ภาวะปรสิต (parasitism) นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์ แบบภาวะมีการย่อยสลาย

ห่วงโซ่อาหาร (food chain)
ห่วงโซ่อาหารในระบบนิเวศ แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ






1. แบบล่าเหยื่อ (Predation) เป็นความสัมพันธ์ โดยมี ฝ่ายหนึ่ง เป็นผู้ล่า (predator) และอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นเหยื่อ (prey) หรือเป็นอาหารของอีกฝ่าย เช่น แมลงกับกบ
2. แบบปรสิต (Parasitism) เป็นความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตที่มีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เบียดเบียน
3. แบบภาวะมีการย่อยสลาย (saprophytism) เป็นการ ดำรงชีพของกลุ่มผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ เช่น เห็ด รา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์


การถ่ายทอดพลังงานในห่วงโซ่อาหาร


ในระบบนิเวศ ทั้งสสารและแร่ธาตุต่างๆ จะถูกหมุนเวียน กันไปภายใต้เวลาที่เหมาะสม วนเวียนกันเป็นวัฏจักร ที่เรียกว่า วัฏจักรของสสาร (matter cycling)

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม


ความหมายของสิ่งแวดล้อม (Environment)
สิ่งแวดล้อม (Environment)คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมนุษย์ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งที่เป็นรูปธรรม (สามารถจับต้องและมองเห็นได้) และนามธรรม (ตัวอย่างเช่นวัฒนธรรมแบบแผน ประเพณี ความเชื่อ) มีอิทธิพลเกี่ยวโยงถึงกัน เป็นปัจจัยในการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ผลกระทบจากปัจจัยหนึ่งจะมีส่วนเสริมสร้างหรือทำลายอีกส่วนหนึ่ง อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ สิ่งแวดล้อมเป็นวงจรและวัฏจักรที่เกี่ยวข้องกันไปทั้งระบบ
สิ่งแวดล้อม (Environment)คือ สิ่งแวดล้อมหมายถึง สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้างขึ้นอยู่รอบๆตัวเราทั้งที่มี ลักษณะกายภาพที่เห็นได้และไม่สามารถเห็น
UNESCOได้ให้คำจำกัดความของสิ่งแวดล้อมเอาไว้ว่า สิ่งแวดล้อม หมายถึง สิ่งที่อยู่รอบตัวมนุษย์ ทั้งที่เป็นธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งสิ่งแวดล้อมทางสังคมของมนุษย์ด้วย


ประเภทของสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ (เกษม จันทร์แก้ว,2525 อ้างถึงใน กนก จันทร์ทอง, 2539)
1. สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ
2. สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น


สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ (Natural Environment) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ อากาศ ป่าไม้ สัตว์ป่า ฯลฯ สิ่งแวดล้อมประเภทนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอาจใช้เวลาเร็วหรือช้าเพียงใดขึ้นอยู่กับชนิดและประเภท
สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. สิ่งมีชีวิต (Biotic Environment) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มีลักษณะและคุณสมบัติเฉพาะตัวของสิ่งมีชีวิตเช่น พืช สัตว์และมนุษย์เราอาจจะเรียกว่าสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ (Biological Environment) ก็ได้


2. สิ่งไม่มีชีวิต (Abiotic Environment) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ไม่มีชีวิต อาจจะมองเห็นหรือไม่ก็ได้ เช่น ดิน น้ำ ก๊าซ อากาศ ควัน แร่ธาตุ เมฆ รังสีความร้อน เสียง ฯลฯ เราอาจเรียกว่า สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environment) ได้เช่นกัน

สิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-Make Environment) เป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้รับการสั่งสอน สืบทอด และพัฒนากันมาตลอด ซึ่ง ได้แบ่งไว้ 2 ประเภทคือ

1. สิ่งแวดล้อมทางวัตถุ หรือสิ่งแวดล้อมที่สามารถมองเห็นได้ เช่น บ้านเรือน เครื่องบิน โทรทัศน์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวก หรือตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิต บางอย่างอาจมีความจำเป็น แต่บางอย่างเป็นเพียงสิ่งฟุ่มเฟือย
2. สิ่งแวดล้อมทางสังคม หรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นนามธรรม (Social Environment) หรือ ( Abstract Environment) เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อความเป็นระเบียบสำหรับอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข สิ่งแวดล้อมทางสังคมได้แก่ระบอบการปกครอง ศาสนา การศึกษา อาชีพ ความเชื่อ เจตคติ กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี ระเบียบข้อบังคับ ฯลฯ สิ่งแวดล้อมที่มองไม่เห็นจะแสดงออกมาในรูปพฤติกรรม


ความสำคัญของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสิ่งมีชีวิต

ไม่ว่าสิ่งแวดล้อมนั้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ก็ล้วนก็ให้เกิดประโยชน์และโทษต่อสิ่งมีชีวิตได้ทั้งสิ้น ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต (ชัชพล ทรงสุนทรวงศ์,2546)


1. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เช่น น้ำ ใช้เพื่อการบริโภคและเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ อากาศ ใช้เพื่อการหายใจของมนุษย์และสัตว์ ดิน เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตบนบก แสงแดดให้ความร้อนและช่วยในการสังเคราะห์แสงของพืช

2. สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ จะช่วยปรับให้สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของมันได้ เช่นช่วยให้ปลาอาศัยอยู่ในน้ำที่ลึกมาก ๆ ได้ ช่วยให้ต้นกระบองเพชรดำรงชีวิตอยู่ในทะเลทรายได้

3. สิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม เช่น มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่

4. สิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปตามการกระทำของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เช่น เมื่อสัตว์กินพืชมีจำนวนมากเกินไปพืชจะลด จำนวนลง อาหารและที่อยู่อาศัยจะขาดแคลน เกิดการแก่งแย่งกันสูงขึ้น ทำให้สัตว์บางส่วนตายหรือลดจำนวนลงระบบนิเวศก็จะ กลับเข้าสู่ภาวะสมดุลอีกครั้งหนึ่ง

5. สิ่งแวดล้อมจะกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อม ในแง่ของการถ่ายทอพลังงาน ระหว่างผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยสลาย ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน เกื้อกูลกัน หรือเบียดเบียนกันมนุษย์สามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม ได้มากมาย ในลักษณะที่แตกต่างไปจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น ใช้ประโยชน์จากดินเพื่อการเพาะปลูก ใช้ประโยชน์จากทุ่งหญ้าเพื่อการเลี้ยงสัตว์ ใช้ประโยชน์จากเหมืองแร่เพื่อการอุตสาหกรรม


ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
โดยหลักการทางนิเวศวิทยา สิ่งแวดล้อม คือสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญอยู่ตลอดเวลาทั้งโดยตรงและทางอ้อม มนุษย์ไม่สามารถหลบหนีพ้นจากสภาพสิ่งแวดล้อมได้ มนุษย์บางคนไม่อยากเผชิญกับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ หรือสิ่งแวดล้อมทางกายภาพแต่ต้องมาเผชิญกับสิ่งแวดล้อมทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ขณะเดียวกันมนุษย์บางคนไม่อยากอยู่รวมกับสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์ด้วยกันสร้างขึ้นมาก็อาจจะหนีไปอาศัยอยู่กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ดังนั้นมนุษย์จึงมีความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลา
สิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันมนุษย์ก็มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม โดยปกติมนุษย์จะอยู่โดยไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ มนุษย์จะต้องสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมตลอดเวลาเพราะมนุษย์จำเป็นที่จะต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิต

การเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมของมนุษย์มี 5 รูปแบบ คือ
1. การใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม เป็นความสัมพันธ์โดยบทบาทหน้าที่ มนุษย์อาศัยธรรมชาติสิ่ง แวดล้อมจึงมีชีวิตอยู่รอดได้เช่น ได้รับอากาศหายใจ มีน้ำสะอาดให้อุปโภค บริโภคและในการเพาะปลูกรวมทั้งได้รับประโยชน์นานับประการจากสิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมทางสังคม มนุษย์ได้รับประโยชน์อย่างมากจากสังคม เช่น การรู้จักบทบาทหน้าที่ รู้จักการคิดสร้างสรรค์ การมีชีวิตอยู่รอด รวมทั้งการพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆ
ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอีกประการหนึ่ง ซึ่งเป็นการพึ่งพาอาศัยสิ่งแวดล้อม คือ ถ้าสิ่งแวดล้อมดีอยู่ในภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต มนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้สะดวกสบาย และพัฒนาตนเองในทิศทางที่สูงขึ้น แต่หากสิ่งแวดล้อมไม่ดีจะด้วยการกระทำของมนุษย์ หรือสภาพวิปริตของตัวธรรมชาติ หรือความแปรปรวนของธรรมชาติ มนุษย์ก็ไม่อาจจะดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุข
2.การพยายามทำตนให้กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ เป็นความสัมพันธ์ในเชิงที่ไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม คือ พยายามทำตนให้ประสานสอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่พยายามฝืนกฎธรรมชาติ ความสัมพันธ์แบบนี้จะดำเนินไปได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์มีความเข้าใจถึงระบบสิ่งแวดล้อมว่ามีบทบาทอย่างไร มีส่วนช่วยให้มนุษย์อยู่รอดได้อย่างไร การที่มนุษย์จะเข้าใจได้ก็ด้วยการสังเกตและการศึกษา ในเรื่องของสังคม ต้องเข้าใจว่าระบบสังคม เป็นระบบพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่ระบบเอาเปรียบหรือการสะสมส่วนเกินที่ไม่จำเป็น มนุษย์รู้จักสร้างความสมดุลระหว่างกัน คือ การไม่กดขี่บังคับเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือเพื่อสิทธิ เพื่อความมีอำนาจเหนือมนุษย์คนอื่น

3. การพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีตามธรรมชาติให้เป็นไปตามวิถีความต้องการของมนุษย์ ความสัมพันธ์แบบนี้ มนุษย์พยายามเอาชนะธรรมชาติโดยการบังคับวิถีของธรรมชาติ ให้สนองความต้องการของตนให้มากที่สุด เช่น การสร้างเขื่อน เพื่อใช้พลังน้ำมาขับเคลื่อนเครื่องให้เกิดกระแสไฟฟ้า
การที่มนุษย์พยายามเอาชนะเหนือธรรมชาติทำให้ค้นคว้าหาวิธีต่างๆ ในที่สุดก็เกิดการพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้นเพื่อนำมาใช้กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม มนุษย์ พยายามเอาชนะเหนือธรรมชาติ เช่น การสร้างเครื่องปรับอากาศเพื่อเอาชนะความร้อนและหนาว การผลิตไฟฟ้าเพื่อให้เกิดแสงสว่างในเวลากลางคืน เป็นต้น
4. การพยามพัฒนาสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ให้มีความเจริญอกงามมากยิ่งขึ้น โดยไม่เป็นผลเสียต่อระบบรวมของสิ่งแวดล้อม ข้อนี้มีลักษณะคล้ายกับแบบที่ ๒ แต่ มีข้อแตกต่างกันตรงจะจุดเน้นการพัฒนา คือไม่ได้ปล่อยให้ระบบสิ่งแวดล้อมดำเนินวิวัฒนาการไปตามธรรมชาติของมัน แต่มนุษย์จะเข้าไปปรับสภาพธรรมชาตินั้น ๆ โดยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติและสังคมให้มีความเจริญงอกงามและดียิ่งขึ้นกว่าสภาพเดิม
5. ความสัมพันธ์ในรูปของการทำลายสภาพเดิมของธรรมชาติสิ่งแวดล้อมให้กลับกลายเป็นสภาพใหม่หรือสูญเสียไป ความสัมพันธ์แบบที่ 5 นี้ มนุษย์พยายามทำลายล้างระบบสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติที่มีอยู่แล้ว โดยพยายามสร้างระบบสิ่งแวดล้อมใหม่ขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากสาเหตุ ๒ ประการ คือ
5.1 มนุษย์มองเห็นว่าระบบสิ่งแวดล้อมเดิมไม่มีประโยชน์ เช่น สภาพอากาศแห้งแล้ง ภูมิประเทศทุรกันดาร ไม่อุดมสมบูรณ์ แล้วทำการปฏิวัติปรับปรุงใหม่ให้เกิดความอุดมบูรณ์ หรือมองเห็นว่าสังคมเดิมไม่ดี มีปัญหาความทุกข์ ความเดือดร้อนแก่มวลสมาชิก เช่น ปัญหาโจรผู้ร้าย ความยากจน โรคภัยไข้เจ็บ และความไร้ระเบียบต่างๆ จึงมีการปฏิรูปสังคม ปฏิวัติขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ แบบเดิม
5.2 มนุษย์มองเห็นว่าระบบสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นความสมบูรณ์ตามธรรมชาติ สังคมส่วนรวมปกติสุข เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นเช่นนี้ บางทีก็ทำให้มนุษย์บางกลุ่มเกิดความละโมบ กลัวว่าตัวเองจะไม่ได้เสพสุขกับทรัพยากรธรรมชาติ และระบบสังคมที่เอื้ออำนวยประโยชน์ต่อไป จึงทำการกอบโกยกักตุน กักกันและสร้างอภิสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอันมีอยู่ในธรรมชาติแต่เพียงผู้เดียวจนทรัพยากรธรรมชาตินั้นค่อยๆ สูญสิ้นไป
จะเห็นได้ว่าการที่มนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติตามข้อ 2 และ 4 จะก่อให้เกิดปัญหาทางธรรมชาติน้อยที่สุด ส่วนข้อ 1, 3 และ 5 เป็นการเข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติที่อาจทำอันตรายกับธรรมชาติอย่างใหญ่หลวงได้
การเข้าไปเกี่ยวข้องกับธรรมชาติจะต้องอาศัยความเข้าใจอย่างถูกต้องตามสัจจธรรมที่แท้จริง เพราะหากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแรงกิเลส ที่มีตัวตัณหาความเห็นแก่ตัวเป็นแรงผลักดันประกอบด้วยมานะและทิฏฐิที่ผิดแล้ว ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหาในระบบสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติขึ้นอย่างมหาศาลได้ ซึ่งท้ายสุดมนุษย์ก็ไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หากเราสูญเสียความสมดุลย์ทางธรรมชาติไปอย่างสิ้นเชิง


วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นักศึกษากับการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย


นักศึกษากับการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย


การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยนั้นมักจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน มีอิสระในการใช้ชิวิต แต่ความรับผิดชอบก็เพิ่มตามไปด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับตอนที่เป็นนักเรียนที่เราจะใช้ชีวิตไปเริ่อยเปื่อย สนุกไปวันๆ การเป็นนักศึกษาทำให้เรารู้จักมีความรับผิดชอบในเรื่องต่างๆมากขึ้น ทั้งการเรียน การทำกิจกรรม และรับผิดชอบต่อหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

การคบเพื่อน
การเลือกคบเพื่อนถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อชีวิตการเป็นนักศึกษา เพราะการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย เวลาส่วนใหญ่ของเรานั้นจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนมากกว่าครอบครัวของเราเอง ทำให้เพื่อนมีอิทธิพลมากต่อตัวเรา ดังนั้นหากเรารู้จักเลือกคบเพื่อนที่ดี ชีวิตในมหาวิทยาลัยก็จะมีความสุข สนุกสนาน และเมื่อเรามีปัญหา เพื่อนที่ดีก็จะคอยช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เราได้ แต่ในทางกลับกันหากเราคบเพื่อนที่ไม่ดี เขาอาจจะชักนำเราไปทำเรื่องที่ไม่ดีได้ เช่น การดื่มเหล้า การเล่นพนัน การเล่นเกมส์ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลเสียต่อตัวเราเอง


การเข้าชมรม
ในมหาวิทยาลัยทั้งรัฐบาลและเอกชน ต่างก็มีชมรมที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้นักศึกษาได้เข้าร่วม เพื่อให้นักศึกษาได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ซึ่งชมรมต่างๆนั้น มีทั้งชมรมด้านการกีฬา ชมรมด้านนันทนาการ ชมรมทางวัฒนธรรม ชมรมที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ หรือแม้แต่ชมรมทางศาสนาก็มี ซึ่งนักศึกษาแต่ละคนก็จะเลือกตามความถนัดและความสนใจของตัวเอง สำหรับตัวของข้าพเจ้าเองนั้นได้เข้าชมรมด้านการกีฬา นั่นก็คือชมรมซอฟท์บอล

การเข้าเป็นสมาชิกของชมรม จะทำให้เราได้รู้จักเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้อง จากต่างสาขา ต่างคณะเพิ่มขึ้น และฝึกความสามัคคีภายในกลุ่มได้ดีอีกด้วย



การทำกิจกรรม
กิจกรรมกับนักศึกษามักเป็นของคู่กัน เพราะการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่มักหมดไปกับการทำกิจกรรมต่าง ซึ่งการทำกิจกรรมจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ หรือที่เรียกว่า freshy

นักศึกษาปี 1 จะเริ่มทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัยครั้งแรก คือ การเข้ากลุ่มสัมพันธ์ มีตั้งแต่ กลุ่ม A-Z
ในแต่ละกลุ่มจะมีรุ่นพี่คอยให้คำแนะนำ ทำกิจกรรมนันทนาการ ฝึกร้องเพลงมหาวิทยาลัย ต่อจากกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์แล้ว จะมีกิจกรรมอีกมากมาย ให้นักศึกษาปี 1 ทำ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมร้องเพลงมหาวิทยาลัย การแข่งกีฬาน้องใหม่ การประกวดดาว-เดือน มหาวิทยาลัย และพิธีบายศรีสู่ขวัญ เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น เพื่อให้นักศึกษาใหม่ ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ทั้งจากคณะเดียวกัน และต่างคณะ ฝึกความสามัคคี การมีส่วนร่วม และทำให้เกิดความรักในสถาบันของตนเอง นอกจากจะมีกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้นแล้ว ยังมีกิจกรรมที่คณะแต่ละคณะจัดขึ้นด้วย เช่น กิจกรรมร้องเพลงคณะ กิจกรรมกีฬาระหว่างคณะ กิจกรรมรายงานสายรหัส เป็นต้น

เมื่อสิ้นสุดการเป็น freshy แล้ว เราก็จะก้าวสู่การเป็น"พี่หม่อ" ซึ่งกิจกรรมที่ถือว่าสำคัญสำหรับการเป็นพี่หม่อนั้น ก็คือ การจัดกิจกรรมรับน้อง แต่ละคณะก็จะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป และในแต่ละสาขาของแต่ละคณะก็จะจัดกิจกรรมรับน้องที่ต่างกันไปอีกด้วย

นอกจากกิจกรรมรับน้องแล้ว พี่หม่อก็ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ต้องทำ เช่น การทำซุ้มวันลอยกระทง การศึกษาดูงาน เป็นต้น
ส่วนนักศึกษาปีที่ 3 และ ปีที่ 4 จะไม่ค่อยมีกิจกรรมให้ทำนัก เพราะเป็นปีที่ต้องเริ่มฝึกงาน จึงต้องเน้นไปที่การศึกษาหาความรู้ให้มากขึ้น เพื่อจะได้มีความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานจริง

การเรียน

แม้ว่าการทำกิจกรรมจะสำคัญต่อนักศึกษา แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและเราต้องทำให้ดีที่สุดนั้น คือ การเรียน นักศึกษามีหน้าที่ที่ต้องเรียน อาจจะทำกิจกรรมควบคู่ไปด้วยได้ แต่เราต้องให้ความสำคัญกับการเรียนมากกว่า เพราะการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะส่งผลต่อการทำงานในอนาคตของเราเอง ซึ่งนักศึกษาที่มีผลคะแนนดีมักจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ได้ผลคะแนนน้อย ดังนั้นเราต้องตั้งใจศึกษาหาความรู้ ทบทวนบทเรียนเป็นประจำ ทำงานที่ได้รับมอบหมาย และส่งงานตามเวลาที่กำหนด หากมีปัญหาไม่เข้าใจบทเรียน ควรซักถามอาจารย์ผู้สอนให้เข้าใจ นอกจากนี้ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เช่น ภาษาต่างประเทศ การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น เพื่อให้เราจบออกมาเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ และจะทำให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ และการงาน ในอนาคตอีกด้วย